เมนู

. . .อุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศหนึ่ง ฯลฯ อยู่ สัตว์ทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้ไม่ปฏิกูล
เพราะเจริญอุเบกขา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า ชื่อว่า วิโมกข์ เพราะ
อรรถว่า เป็นผู้น้อมไปในอารมณ์ว่า งาม ดังนี้ ด้วยประการฉะนี้ แต่ใน
พระอภิธรรมนี้ พระองค์ทรงปฏิเสธนัยนั้น เพราะความที่พรหมวิหารมาแล้ว
ในพระบาลีข้างหน้านั่นแหละ ทรงตรัสอนุญาตสุภวิโมกข์ไว้ด้วยอำนาจนีลกสิณ
ที่ดี ปีตกสิณที่ดี โลหิตกสิณที่ดี โอทาตกสิณที่ดี นีลกสิณที่บริสุทธิ์ ปีตกสิณ
ที่บริสุทธิ์ โลหิตกสิณที่บริสุทธิ์ โอทาตกสิณที่บริสุทธิ์เท่านั้น ด้วยประการฉะนี้
คำว่า กสิณ หรือคำว่า อภิภายตนะ หรือคำว่า วิโมกข์ ก็คือรูปาวจรฌาน
นั่นเอง. จริงอยู่ รูปาวจรฌานนั้น ตรัสว่า ชื่อว่า กสิณ เพราะอรรถว่า
ทั่วไปแก่อารมณ์ ชื่อว่า อภิภายตนะ เพราะอรรถว่า ครอบงำอารมณ์
ชื่อว่า วิโมกข์ เพราะอรรถว่า น้อมใจไปในอารมณ์ และเพราะอรรถว่า
หลุดพ้นจากธรรมอันเป็นข้าศึกทั้งหลาย บรรดาเทศนากสิณ อภิภายตนะและ
วิโมกข์เหล่านั้น เทศนากสิณ พึงทราบว่า ตรัสไว้ด้วยอำนาจพระอภิธรรม
ส่วนเทศนา 2 อย่างนอกจากนี้ ตรัสไว้ด้วยอำนาจการเทศนาในพระสูตร. นี้
เป็นการพรรณนาบทตามลำดับในวิโมกข์นี้ แต่ว่า วิโมกข์แต่ละข้อ พึงทราบ
นวกนัย 75 หมวด โดยทำเป็นข้อละ 25 ดุจปฐวีกสิณแล.
วิโมกข์ขกถาจบ

อธิบายพรหมวิหารฌาน



บัดนี้ เพื่อแสดงรูปาวจรกุศลเป็นไปด้วยอำนาจพรหมวิหารมีเมตตา-
ฌานเป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงเริ่มคำเป็นต้นว่า กตเม ธมฺมา กุสลา
ดังนี้ อีก. พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า กตเม ธมฺมา กุสลา เป็นต้นนั้นต่อไป.

คำว่า เมตฺตาสหคตํ (สหรคตด้วยเมตตา) ได้แก่ ประกอบด้วย
เมตตา แม้ในคำว่า สหรคตด้วยกรุณาเป็นต้นข้างหน้าก็นัยนี้เหมือหกัน. ก็พระ-
โยคาวจรนั้นปฏิบัติแล้วโดยวิธีใด จึงเข้าถึงฌานอันสหรคตด้วยเมตตาเป็นต้นอยู่
วิธีการเจริญเมตตาเป็นต้นนั้น ข้าพเจ้าให้พิสดารไว้ในวิสุทธิมรรคแล้ว ส่วน
เนื้อความพระบาลีที่เหลือ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้ในปฐวีกสินนั่นแหละ.
ก็แต่ว่าในปฐวีกสิณได้ธรรมหมวด 9 รวม 25 หมวดเท่านั้น ในพรหมวิหารนี้
ได้ธรรมหมวด 7 รวม 25 หมวด ด้วยสามารถแห่งพระบาลี มีคำว่าติกฌาน
(ฌานหมวด 3) และจตุกฌาน (ฌานหมวด 4) เป็นต้น ในพรหมวิหาร 3
ข้างต้น แต่ละหมวดได้ 25 หมวด ด้วยอำนาจแห่งฌานที่ 4 ในอุเบกขา
แต่ในฌานที่สหรคตด้วยกรุณาและมุทิตา ย่อมมีเยวาปนกธรรมแม้เหล่านี้ คือ
กรุณาและมุทิตา กับธรรม 4 มีฉันทะเป็นต้น.
อนึ่ง ความเป็นทุกขาปฏิปทาเป็นต้นในพรหมวิหารนี้ พึงทราบการ
ข่มพยาบาทด้วยเมตตาก่อน พึงทราบการข่มวิหิงสาด้วยกรุณา พึงทราบการข่ม
อรติด้วยมุทิตา พึงทราบการข่มราคปฏิฆะด้วยอุเบกขา มีอยู่ด้วยประการฉะนี้.
ส่วนเนื้อความที่แปลกกันมีว่า ความเป็นปริตตารมณ์ย่อมไม่มีด้วยอำนาจ
แห่งสัตว์จำนวนมากเป็นอารมณ์ ส่วนความเป็นอัปปมาณารมณ์ย่อมมีด้วยอำนาจ
มีสัตว์มากเป็นอารมณ์ ดังนี้ คือที่เหลือเป็นเช่นเดียวกันทั้งหมด.
บัณฑิตครั้นทราบพรหมวิหารเหล่านี้
อันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพรหมอันสูงสุด
ตรัสแล้วด้วยอาการอย่างนี้ก่อนแล้วพึงทราบ
แม้ปกิณณกกถา ในพรหมวิหารฌานเหล่านี้
ให้ยิ่งขึ้นไป.

จริงอยู่ บรรดาพรหมวิหาร คือ เมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาเหล่านั้น
ว่าโดยอรรถ ธรรมที่ชื่อว่า เมตตา เพราะอรรถว่า ย่อมรักใคร่ คือว่าย่อม
เสน่หา. อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่า เมตตา เพราะอรรถว่า ธรรมนี้มีในมิตร
หรือว่า ย่อมเป็นไปเพื่อมิตร. ธรรมที่ชื่อว่า กรุณา เพราะอรรถว่า ย่อม
กระทำหทัยของสาธุชนทั้งหลายให้หวั่นไหว ในเพราะคนอื่นมีทุกข์. อีกอย่าง
หนึ่ง ชื่อว่า กรุณา เพราะอรรถว่า ย่อมบำบัด หรือย่อมเบียดเบียน คือ
ย่อมยังทุกข์ของผู้อื่นให้พินาศ. อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่า กรุณา เพราะอรรถว่า
ย่อมทำให้กระจายไปให้ออกไปด้วยการแผ่ไปในสัตว์ผู้เป็นทุกข์. ธรรมที่ชื่อว่า
มุทิตา เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องบันเทิงของผู้พรั่งพร้อมด้วยมุทิตานั้นหรือ
ย่อมยินดีเอง. หรือว่า เป็นเพียงความยินดีเท่านั้น. ธรรมที่ชื่อว่า อุเบกขา
เพราะอรรถว่า ย่อมแลดูด้วยการละความพยาบาทมีอาทิว่า ขอสัตว์ทั้งหลาย
จงเป็นผู้ไม่มีเวรเถิด
ดังนี้ และด้วยความเข้าถึงความเป็นกลาง.
อนึ่ง ในพรหมวิหารเหล่านี้ ว่าโดยลักษณะเป็นต้น พึงทราบว่า
เมตตามีความเป็นไปแห่งอาการที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลเป็นลักษณะ มีการน้อม
เข้าไปซึ่งประโยชน์เป็นกิจ มีการกำจัดความอาฆาตเป็นปัจจุปัฏฐาน มีการดู
แต่สิ่งที่น่าพอใจของสัตว์เป็นปทัฏฐาน เมตตานี้มีการสงบพยาบาทเป็นสมบัติ
มีการเกิดขึ้นแห่งเสน่หาเป็นวิบัติ.
กรุณา มีการเป็นไปแห่งอาการช่วยบำบัดทุกข์เป็นลักษณะมีการกำจัด
ทุกข์ผู้อื่นเป็นรส มีความไม่เบียดเบียนเป็นปัจจุปัฏฐาน มีการเห็นสัตว์ผู้ถูก
ทุกข์ครอบงำแล้ว เป็นผู้ไม่มีพึ่งเป็นปทัฏฐาน กรุณานี้ มีความสงบจากความ
เบียดเบียนเป็นสมบัติ มีความเกิดขึ้นแห่งความโศกเป็นวิบัติ.

มุทิตา มีการบันเทิงใจเป็นลักษณะ มีความไม่ริษยาในความดีเป็นรส
มีความกำจัดอรติเป็นปัจจุปัฏฐาน มีการเห็นสมบัติของสัตว์ทั้งหลายเป็นปทัฏฐาน
มุทิตานี้มีการสงบอรติเป็นสมบัติ มีการเกิดขึ้นแห่งความร่าเริงเป็นวิบัติ.
อุเบกขา มีการเป็นไปโดยอาการเป็นกลางในสัตว์ทั้งหลายเป็นลักษณะ
มีความเห็นสัตว์ทั้งหลายโดยความเสมอกันเป็นรส มีการเข้าไปสงบความโกรธ
และความรักเป็นปัจจุปัฏฐาน มีความเห็นสัตว์มีกรรมเป็นของตน อย่างนี้ว่า
สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ ตน สัตว์เหล่านั้นจักมีความสุข หรือจักพ้น
จากทุกข์ หรือจักไม่เสื่อมจากสมบัติตามความพอใจของใครดังนี้ เป็นปทัฏฐาน
อุเบกขานั้น มีความสงบความโกรธและความรักเป็นสมบัติ มีความเกิดขึ้นแห่ง
อัญญาณูเบกขาซึ่งอาศัยเรือนเป็นวิบัติ.
ก็ความสุขในวิปัสสนา และภวสมบัติเป็นสาธารณประโยชน์ของ
พรหมวิหารเหล่านั้นแม้ทั้ง 4 แต่ความกำจัดพยาบาทเป็นต้นเป็นประโยชน์
เฉพาะองค์. จริงอยู่ ในอภิธรรมนี้ เมตตามีการกำจัดพยาบาทเป็นประโยชน์
พรหมวิหาร 3 แม้นอกนี้มีการกำจัดความเบียดเบียน ความไม่ยินดี และราคะ
เป็นประโยชน์. ข้อนี้ สมดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย
เพราะธรรมชาติ คือ เมตตาเจโตวิมุตตินี้ เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งความ
พยาบาท...ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย เพราะธรรมชาติ คือ กรุณาเจโต-
วิมุตตินี้ เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งความเบียดเบียน... ดูก่อนอาวุโส
ทั้งหลายเพราะธรรมชาติ คือ มุทิตาเจโตวิมุตตินี้ เป็นเครื่องสลัดออก
ซึ่งอรติ...ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย เพราะธรรมชาติ คืออุเบกขาเจโต-
วิมุตตินี้ เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งราคะ
ดังนี้.

ก็ในพรหมวิหารเหล่านั้น มีธรรมที่เป็นข้าศึกอย่างละ 2 โดยอำนาจ
แห่งความเป็นข้าศึกใกล้และไกล จริงอยู่ เมตตาพรหมวิหารมีราคะเป็นเหตุ
ใกล้ เพราะเห็นว่าเป็นคุณเท่ากัน เหมือนศัตรูของบุรุษผู้เที่ยวไปใกล้กัน.
ราคะนั้นย่อมได้โอกาสได้ เพราะฉะนั้น พึงรักษาเมตตาให้ดีจากราคะนั้น
พยาบาทเป็นข้าศึกไกล เพราะความเป็นสภาคะและวิสภาคะ เหมือนศัตรูของ
บุรุษซึ่งอาศัยอยู่ในที่รกชัฏมีภูเขาเป็นต้น เพราะฉะนั้น พระโยคาวจร พึงแผ่
เมตตาออกไปโดยปราศจากความกลัวต่อพยาบาทนั้น ข้อที่ว่า บุคคลจักแผ่เมตตา
และจักโกรธพร้อมกัน นั่นมิใช่เหตุที่มีได้.
โทมนัสอาศัยเรือนที่ตรัสไว้โดยนัยเป็นต้นว่า บุคคลเมื่อเล็งเห็น
ความไม่ได้เฉพาะซึ่งรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่
น่าชอบใจ เป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ ประกอบด้วยโลกามิส โดยเป็นของ
อันตนไม่ได้เฉพาะ หรือหวนระลึกถึงรูปที่เคยได้เฉพาะในกาลก่อน
อันล่วงไปแล้ว อันดับไปแล้ว แปรปรวนไปแล้ว ย่อมเกิดโทมนัส
โทมนัสเช่นนี้ เราเรียกว่า โทมนัสอาศัยเรือน
ดังนี้ เป็นข้าศึกไกลของ
กรุณาพรหมวิหาร เพราะเห็นความวิบัติเหมือนกัน ความเบียดเบียนเป็นข้าศึก
ไกล เพราะเป็นวิสภาคะต่อสภาคะ ข้อที่ว่า ชื่อว่า บุคคลจักทำกรุณา และ
จักเบียดเบียนสัตว์ด้วยการประหารด้วยฝ่ามือเป็นต้นพร้อมกัน ดังนี้ นั่นมิใช่
เหตุที่เป็นไปได้.
โสมนัสอาศัยเรือนที่ตรัสไว้โดยนัยว่า บุคคลเมื่อเล็งเห็นความได้
เฉพาะซึ่งรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ
เป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ อันประกอบด้วยโลกามิส โดยเป็นของอันตน

ได้เฉพาะ หรือหวนระลึกถึงรูปที่เคยได้เฉพาะแล้วในกาลก่อน อัน
ล่วงไปแล้ว อันดับไปแล้ว แปรปรวนไปแล้ว ย่อมเกิดโสมนัส
โสมนัสเช่นนี้ เรียกว่า โสมนัสอาศัยเรือน
ดังนี้ เป็นข้าศึกใกล้ของ
มุทิตาพรหมวิหาร เพราะเห็นว่าเป็นสมบัติเสมอกัน อรติเป็นข้าศึกไกล เพราะ
เป็นวิสภาคะต่อสภาคะ เพราะฉะนั้น พึงเจริญมุทิตาไปโดยปราศจากความกลัว
ต่อข้าศึกนั้น ข้อที่ว่า บุคคลจักเป็นผู้ชื่นชมยินดี และจักเบื่อหน่ายในเสนาสนะ
อันสงัดและในกุศลธรรมอันยิ่งพร้อมกัน ดังนี้ มิใช่ฐานะที่เป็นได้.
อัญญาณุเบกขา ที่อาศัยเรือน ที่ตรัสโดยนัยเป็นต้น ว่า เพราะเห็นรูป
ด้วยจักษุ อุเบกขาจึงเกิดขึ้นแก่ปุถุชนคนโง่เขลา ยังไม่ชนะกิเลส
ยังไม่ชนะวิบาก ไม่เห็นโทษ ไม่ได้สดับ เป็นคนหนาแน่น อุเบกขา
เช่นนี้นั้น ไม่ละเลยรูปไปได้ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า อุเบกขา
อาศัยเรือน
ดังนี้ เป็นข้าศึกไกลของอุเบกขาพรหมวิหาร เพราะเป็นธรรม
เสมอกันด้วยอำนาจแห่งการไม่ใคร่ครวญถึงโทษและคุณ ราคะและปฏิฆะเป็น
ข้าศึกไกล เพราะเป็นวิสภาคะต่อสภาคะ เพราะฉะนั้น พึงแผ่อุเบกขาไปโดย
ปราศจากความกลัวแต่ข้าศึกนั้น ขึ้นชื่อว่า บุคคลจักแผ่อุเบกขาไป จักยินดี
จักโกรธพร้อม ๆ กันนั้น มิใช่เหตุที่มีได้.
อนึ่ง ความพอใจใคร่เพื่อจะทำ (กตฺตุกมฺยตาฉนฺโท) เป็นเบื้องต้น
การข่มนิวรณ์เป็นต้น เป็นท่ามกลาง อัปปนาเป็นปริโยสานของพรหมวิหาร
เหล่านั้นแม้ทั้งหมด สัตว์ตนหนึ่ง หรือมาก เป็นอารมณ์ของพรหมวิหารนั้น
โดยบัญญัติธรรม อารมณ์บัญญัติธรรมนั้น เมื่อถึงอุปจาระหรืออัปปนาแล้ว
จึงขยายอารมณ์ได้.

ในอธิการว่าด้วยพรหมวิหารนั้น มีลำดับแห่งการขยายอารมณ์ ดังต่อ
ไปนี้. พระโยคาวจรพึงกำหนดอาวาสหนึ่งก่อนทีเดียวแล้ว พึงเจริญเมตตาไป
ในสัตว์ทั้งหลายในอาวาสนี้นั้น โดยนัยว่า สตฺตา อเวรา โหนฺตุ ขอให้
สัตว์ทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่มีเวรเถิด ดังนี้เป็นต้น เหมือนชาวนาผู้ฉลาดกำหนด
สถานที่ตนพึงไถแล้วจึงไถ ฉะนั้น พระโยคาวจรพึงทำจิตให้อ่อนและควรแก่
การงานในอาวาสนั้น แล้วพึงกำหนดอาวาส 2 แห่ง จากนั้นก็กำหนดอาวาส
3 แห่ง 4 แห่ง 5 แห่ง 6 แห่ง 7 แห่ง 8 แห่ง 9 แห่ง ตรอกหนึ่ง
กึ่งหมู่บ้าน หนึ่งหมู่บ้าน ชนบทหนึ่ง รัฐหนึ่ง ทิศหนึ่ง จนกระทั่งจักรวาล
หนึ่ง หรือยิ่งกว่านั้น แล้วเจริญเมตตาไปในสัตว์นั้น ๆ กรุณาพรหมวิหาร
เป็นต้นก็เหมือนกัน นี้เป็นลำดับแห่งการขยายอารมณ์ในพรหมวิหาร 4 ดังนี้.
ในพรหมวิหาร 4 เหล่านี้ อุเบกขาพรหมวิหารเป็นผลไหลออกของ
พรหมวิหาร 3 ข้างต้น เหมือนรูปสมาบัติเป็นผลไหลออกของกสิณทั้งหลาย
เนวสัญญานาสัญญายตนะเป็นผลไหลออกของอรูปสมาธิ ผลสมาบัติเป็นผล
ไหลออกของวิปัสสนา นิโรธสมาบัติเป็นผลไหลออกของสมถะและวิปัสสนา
ฉะนั้น เหมือนอย่างว่า บุคคลสร้างบ้านยังไม่ได้ยกเสาทั้งหลายขึ้นตั้ง ยังมิได้
ยกขื่อและอกไก่ ก็ไม่สามารถจะยกยอดเรือนและกลอนหลังคาตั้งไว้ในอากาศได้
ฉันใด พระโยคาวจรเว้นตติยฌานที่เกิดขึ้นในเบื้องต้น ก็ไม่อาจเพื่อจะเจริญ
จตุตถฌานได้ฉันนั้น ก็แต่ว่า อุเบกขาพรหมวิหารนี้ ย่อมไม่เกิดขึ้นแม้แก่
บุคคลผู้ยังตติยฌานให้เกิดขึ้นแล้วในกสิณทั้งหลาย เพราะเป็นอารมณ์มีส่วน
ไม่เสมอกัน.
ก็ในพรหมวิหารเหล่านั้น หากจะมีคำถามว่า เพราะเหตุไร เมตตา
กรุณามุทิตาอุเบกขา จึงตรัสเรียกว่า พรหมวิหาร ? เพราะเหตุไร พรหมวิหาร

จึงมี 4 และลำดับของพรหมวิหารเหล่านั้นเป็นอย่างไร ? เพราะเหตุไร ใน
วิภังค์ จึงตรัสเรียกว่า เป็นอัปปมัญญาเล่า ?
ตอบว่า ความเป็นพรหมวิหารในธรรมมีเมตตาเป็นต้นเหล่านี้ พึงทราบ
ด้วยอรรถว่าประเสริฐ และความเป็นธรรมไม่มีโทษก่อน.
จริงอยู่ ธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า เป็นธรรมเครื่องอยู่อันประเสริฐ เพราะ
เป็นความปฏิบัติโดยชอบในสัตว์ทั้งหลาย ก็พรหมทั้งหลายมีจิตปราศจากโทษ
อยู่ฉันใด พระโยคีทั้งหลายผู้ประกอบด้วยพรหมวิหารเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้เสมอ
กับพรหมอยู่ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น จึงตรัสเรียกธรรมเหล่านั้นว่า
พรหมวิหาร เพราะอรรถว่าประเสริฐและความเป็นธรรมปราศจากโทษ.
ส่วนปัญหามีคำว่า เพราะเหตุไร จึงเป็น 4 เป็นต้น มีคำวิสัชนา
ดังนี้ว่า
พรหมวิหาร ชื่อว่ามี 4 เพราะเป็น
ทางหมดจดเป็นต้น อนึ่ง ลำดับแห่งพรหม-
วิหารเหล่านั้นย่อมมี เพราะอาการมี
ประโยชน์เกื้อกูลเป็นต้น และพรหมวิหาร
เหล่านั้น ย่อมเป็นไปในอารมณ์ไม่มีประมาณ
เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า อัปปมัญญา
ดังนี้.
จริงอยู่ บรรดาพรหมวิหารเหล่านั้น เมตตาเป็นทางหมดจดของบุคคล
ผู้มากด้วยพยาบาท กรุณาเป็นทางหมดจดของบุคคลผู้มากด้วยวิหิงสา มุทิตา
เป็นทางหมดจดของบุคคลผู้มากด้วยอรติ อุเบกขาเป็นทางหมดจดของบุคคล
ผู้มากด้วยราคะ.

อนึ่ง มนสิการในสัตว์ทั้งหลายของพรหมวิหารก็มี 4 อย่างนั่นแหละ
ด้วยอำนาจการน้อมเข้าไปซึ่งประโยชน์เกื้อกูล 1 การนำออกซึ่งสิ่งที่ไม่เป็น
ประโยชน์ 1 การพลอยยินดีด้วยสมบัติผู้อื่น 1 และการไม่ผูกใจ 1.
เหมือนอย่างว่า มารดามีลูก 4 คน บรรดาลูก 4 คนเป็นเด็กคนหนึ่ง
เป็นคนป่วยคนหนึ่ง เป็นหนุ่มสาวคนหนึ่ง และกำลังประกอบกิจทั้งปวงคนหนึ่ง
มารดาย่อมปรารถนาให้ลูกคนเล็กเจริญเติบโต มีความปรารถนากำจัดความ
ป่วยไข้ของลูกที่ป่วย มีความปรารถนาให้ลูกผู้เป็นหนุ่มสาวดำรงอยู่ในสมบัติ
แห่งความเป็นหนุ่มสาวตลอดกาลนาน และไม่ได้ขวนขวายกิจการงานในการ
งานอะไร ของลูกคนที่ประกอบการแล้ว ฉันใด แม้พระโยคาวจรผู้มี อัปป-
มัญญาเป็นเครื่องอยู่ก็ฉันนั้น พึงเจริญไปด้วยอำนาจแห่งอัปปมัญญามีเมตตา
เป็นต้นในสัตว์ทั้งปวง เพราะฉะนั้น อัปปมัญญาจึงมี 4 อย่าง เพราะอำนาจ
แห่งทางหมดจดเป็นต้นนี้.
ก็พระโยคาวจรผู้ใคร่จะเจริญอัปปมัญญาเหล่านั้นแม้ทั้ง 4 พึงปฏิบัติ
ในสัตว์ทั้งหลายด้วยอำนาจแห่งความเป็นไปด้วยอาการอันเป็นประโยชน์เกื้อกูล
ก่อน ด้วยว่า เมตตามีการเป็นไปแห่งอาการเกื้อกูลแก่สัตว์เป็นลักษณะ แต่นั้น
ก็พึงปฏิบัติในสัตว์ทั้งหลาย ด้วยอำนาจความเป็นไปแห่งอาการที่เห็น หรือได้
ฟัง หรือกำหนดสัตว์ทั้งหลายผู้อันความทุกข์ครอบงำที่ตนปรารถนาจะเกื้อกูล
ด้วยประการฉะนี้แล้วช่วยนำทุกข์ออกไป ด้วยว่ากรุณา มีการเป็นไปแห่งอาการ
นำทุกข์ออกไปเป็นลักษณะ ลำดับนั้น ก็พึงปฏิบัติในสัตว์ทั้งหลาย ด้วยอำนาจ
ความยินดีในสมบัติ เพราะเห็นสมบัติ (คือการถึงพร้อม) แห่งสัตว์ที่ตน

ปรารถนาเกื้อกูลแล้ว มีทุกข์ไปปราศแล้วเหล่านั้น ด้วยว่า มุทิตามีการบันเทิงใจ
ต่อสมบัติผู้อื่นเป็นลักษณะ เบื้องหน้าแต่นั้น ก็พึงปฏิบัติในสัตว์ทั้งหลาย
โดยอาการแห่งความเป็นกลาง กล่าวคือ ความเป็นผู้วางเฉย เพราะความไม่มี
กิจที่พึงทำอีก ด้วยว่า อุเบกขามีความเป็นไปแห่งอาการแห่งความเป็นกลาง
เป็นลักษณะ เพราะฉะนั้น จึงตรัสเมตตาไว้ก่อน ด้วยอำนาจแห่งความเป็นไป
ด้วยอาการมีการเกื้อกูลเป็นต้น ต่อจากนั้นก็พึงทราบว่า ลำดับนี้ คือ กรุณา
มุทิตา และอุเบกขาโดยประการดังกล่าวมานี้.
ก็อัปปมัญญาเหล่านี้ทั้งหมดย่อมเป็นไปในอารมณ์ไม่มีประมาณ ด้วย
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า จริงอยู่ สัตว์ไม่มีประมาณเป็นอารมณ์ของอัปป-
มัญญาเหล่านี้ และพึงเจริญเมตตาเป็นต้นไปในประเทศเท่านี้ต่อสัตว์หนึ่ง ดังนี้
แล้ว ไม่ถือเอาประมาณอย่างนี้ แล้วให้เป็นไปด้วยอำนาจแห่งการแผ่ไปทั้ง
สิ้นนั่นแหละ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า อัปปมัญญา ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้า
จึงกล่าวว่า
พรหมวิหาร ชื่อว่ามี 4 เพราะเป็น
ทางหมดจดเป็นต้น อนึ่ง ลำดับแห่งพรหม
วิหารเหล่านั้นย่อมมี เพราะอาการมีประ-
โยชน์เกื้อกูลเป็นต้น และพรหมวิหารเหล่า
นั้น ย่อมเป็นไปในอารมณ์ไม่มีประมาณ
เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า อัปปมัญญา
ดังนี้.

ก็อัปปมัญญาเหล่านั้น แม้มีอารมณ์เป็นลักษณะอย่างเดียวกัน โดย
ความเป็นอารมณ์ไม่มีประมาณอย่างนี้ แต่อัปปมัญญา 3 ข้างต้นย่อมเป็นไปใน
ฌาน 3 และฌาน 4. เพราะเหตุไร เพราะฌานเหล่านั้นยังไม่ปราศจากโสมนัส.
ก็เพราะเหตุไร อัปปมัญญา 3 ข้างต้น จึงยังไม่ปราศจากโสมนัส เพราะ
อัปปมัญญา 3 ข้างต้นเป็นธรรมสลัดพยาบาทเป็นต้น อันมีโทมนัสเป็นสมุฏฐาน
ออกไป ส่วนอัปปมัญญาข้อสุดท้ายฌานเดี่ยวที่ไม่มีโสมนัสเหลือ เพราะเหตุไร
เพราะประกอบด้วยอุเบกขาเวทนา จริงอยู่ อุเบกขาในพรหมวิหารเป็นไปโดย
อาการเป็นกลางในสัตว์ทั้งหลาย เว้นอุเบกขาเวทนา ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย.
พรหมวิหารกถาจบ

อสุภฌาน



[191 ] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ?
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ สงัดจากกาม สงัด
จากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ที่สหรคตด้วยอุทธุมาตกสัญญา
ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ?
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ สงัดจากกาม สงัด
จากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ที่สหรคตด้วยวินีลกสัญญา ฯลฯ
ที่สหรคตด้วยวิปุพพกสัญญาฯสฯ ที่สหรคตด้วยวิจฉิททกสัญญาฯลฯ ที่สหรคต
ด้วยวิกขายิตกสัญญา ฯลฯ ที่สหรคตด้วยวิกขิตตกสัญญา ฯลฯ ที่สหรตด้วย
หตวิกขิตตกสัญญา ฯลฯ ที่สหรคตด้วยโลหิตกสัญญา ฯลฯ ที่สหรคตด้วย
ปุฬุวกสัญญา ฯลฯ ที่สหรคตด้วยอัฏฐิกสัญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ
อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
อสุภฌานแจกอย่างละ 16
รูปาวจรกุศล จบ